วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2559

บุญที่ฉันปลื้มที่สุด

บุญที่ฉันปลื้มที่สุด

ถ้าถามดิฉันว่า..บุญอะไรที่ดิฉันทำแล้ว ปลื๊ม...ปลื้ม..!  มากที่สุด

ก็เยอะอยู่นะคะ หลายอย่าง 

แต่ถ้าถามต่อว่าก่อนนั่งสมาธิ ดิฉันนึกถึงบุญอะไรที่ทำให้เกิดปิติ แล้วทำให้ใจรวมใจหยุดใจนิ่งได้ บุญอะไรที่ระลึกได้ก่อน บุญอะไรที่นึกถึงทีไรก็เห็นภาพชัดใส แจ่มกระจ่างชัดเจน ซาบซึ้งปีติใจทุกครั้ง

ตอบได้เลยว่า บุญจากการกระทำด้วยแรงกาย แรงใจ แรงศรัทธาค่ะ 

ดิฉันเข้าวัดครั้งแรก
ในเดือน ก.ค ๒๕๒๘ และได้รับการชักชวนเข้ามารับบุญช่วยงานวัดในปี ๒๕๒๙ ดิฉันได้เข้ารับการอบรมเป็นวิทยากรแก้วและได้ร่วมกับพี่ๆออกไปทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรให้แสงสว่างแก่ชาวโลก
 
งานของเราคือการไปสอนเด็กๆ ตามโรงเรียนต่างๆ ในเรื่อง ทาน ศีล ภาวนา 
เราทำงานเป็นทีม ทีมละ ๓ คน คนหนึ่งเป็นพิธีกร คนที่สองบรรยายเรื่องการทำทาน รักษาศีล และ คนที่สามแนะนำการทำสมาธิภาวนาเบื้องต้น  

หากจะถามว่าทำไมวัดพระธรรมกายต้องทำอย่างนี้ ?? 
ก็เพราะว่าหลังจากที่ ภาครัฐได้ถอดวิชาหน้าที่ศีลธรรมออกจากระบบการศึกษา พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย ท่านมองเห็นภัยร้ายต่อพระพุทธศาสนา ต่อเยาวชนไทย และประเทศไทย เด็กไทยจะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่รู้จักศีล ๕ คืออะไร ? และปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นซึ่งสมัยนั้นไม่มีใครเชื่อ
มีแต่คิดว่าวัดพระธรรมกายสยายปีกบ้างล่ะ หาสาวกบ้างล่ะ พุทธพาณิชย์บ้างละ 
แต่หลวงพ่อท่านไม่เคยโต้ตอบ มุ่งมั่นทำความดีต่อไปและยิ่งๆขึ้นไป และแล้ววันนี้ภาพภัยร้ายต่อพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นเป็นที่ชัดเจนแล้วอย่างที่เราได้เห็นๆกัน

นอกจากการไปบรรยายตามโรงเรียนต่าง ๆ แล้ว เราก็ไปชักชวน ให้กำลังใจ ประสานงานกับกัลยาณมิตรในท้องถิ่นร่วมกับโรงเรียนจัดธุดงค์ ชักชวนชาวบ้านมาอยู่ธุดงค์รักษาศีลปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ

ปลูกฝังศีลธรรมให้ทั้งเด็กในโรงเรียนและผู้ใหญ่ ในชุมชน นอกจากนี้ทีมของเราเคยมีโอกาสได้เข้าไปบรรยายในเรือนจำแห่งหนึ่งด้วย ดิฉันได้เห็นนักโทษบางคนมีโซ่ตรวนที่ขา บางคนฟังเราบรรยายแล้วเขาก็ร้องไห้

สมัยนั้นเราทำงานกันอย่างลำบากมากค่ะ เดินทางโดยรถเมล์ รถบัส รถไฟธรรมดา บางทีเช้าอยู่จังหวัดนี้
กลางวันอยู่จังหวัดนั้น ค่ำนอนอีกจังหวัดหนึ่ง 

นอนที่บ้านผู้นำบุญบ้าง ตามโรงเรียนบ้าง ห้องสมุดประชาชนบ้าง  บางทีต้องอาบน้ำในห้องส้วมของนักเรียนก็เคยมาแล้ว ซึ่งต้องใช้ขันล้างก้นตักน้ำจากถังน้ำที่ใช้ชำระก้นมาล้างหน้าก็เคยมาแล้ว บอกตรงๆว่าตอนนั้นก็ยืนทำใจอยู่นานค่ะ แต่ด้วยความที่เราเป็นชาววัดพระธรรมกายเป็นลูกหลวงพ่อธัมมชโยเป็นหลานคุณยายอาจารย์จันทร์ ขนนกยูง ไม่ว่าสภาพแวดล้อมจะเป็นเช่นไร เมื่อก้าวออกไปทำหน้าที่ไม่ว่าจะพบเจออะไร เราก็ บ่ยั่น เจอความสกปรกเราก็ทำให้สะอาดด้วยวัฒนธรรมของคุณยาย แต่ต่อมาในการเดินทางไปต่างจังหวัดดิฉันก็ขอมีของใช้ประจำตัวเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ ขันน้ำพลาสติกใบเล็กๆ ติดกระเป๋าเสื้อผ้าไปด้วยค่ะ

ตอนนั้นก็มีคนกล่าวหาเราว่าวัดพระธรรมกาย รวย กินอาหารภัตตาคารเลิศรสบ้าง ร้านหรูบ้าง
อภิโธ่..อภิถัง...นาน...ๆ..จะมีเจ้าภาพบางจังหวัดที่เราไปทำหน้าที่นั้น เขาเห็นเราทุ่มเททำงานกันอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เขาก็ลงขันกันพาเราไปทานข้าวด้วยกันสักมื้อหนึ่ง ก็ว่ากันซะอย่างกับ เรากินเพชรกินพลอยหมดประเทศ

สมัยนั้นที่วัดวันอาทิตย์ทานข้าวกับน้ำพริกไข่เค็ม บางอาทิตย์ยำปลากระป๋อง ส่วนที่สำนักงานเราก็ทานข้าวกับผัดผักบุ้งบ้าง ผัดคะน้าบ้าง ไข่เจียวบ้าง นั่งกับพื้นทานด้วยกันเป็นวงๆ วงละ ๔-๕ คนมีกับข้าวอยู่แค่ ๒-๓ อย่าง ตักกันอย่างเกรงอกเกรงใจ แต่ก็แสนเอร็ดอร่อยและแสนจะมีความสุข ทานกันแบบนี้เป็นประจำจนแทบจะเป็นโรคขาดสารอาหาร แถมพวกเรายังรักษาศีล ๘ ไม่ทานข้าวเย็น สมัยนั้นน้ำปานะมีแค่ น้ำเต้าหู้ ซึ่งมีเจ้าภาพท่านหนึ่งต้มมาเลี้ยงพวกเราทุกวัน  
พวกเราก็อยู่และทำงานกันอย่างมีความสุขมาก มีความรักสามัคคีกลมเกลียวกันเสมอมา และพี่น้องกัลยาณมิตรก็มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นๆ แม้บางคนจะมีภาระครอบครัวจำต้องออกไปทำงานข้างนอกแต่ก็พบว่าจำนวนมากก็ยังมาวัดเป็นชาววัดพระธรรมกายถึงปัจจุบันนี้ (ถึงตรงนี้อดไม่ได้ต้องขออนุญาตแทรกนิดนึงนะคะว่า คุณมโน ที่อ้างว่าเป็นศิษย์เอกนั้นดิฉันไม่เคยเห็นคนคนนี้มาใช้ชีวิตอยู่ในวัดร่วมกับพวกเราเลยค่ะ และไม่เคยเห็นทำการงานอะไร นอกจากได้ชื่อว่าเป็นพระรูปหนึ่งของวัดที่ได้ไปเรียนที่ประเทศอังกฤษ แล้วกลับมาขอเงินหลวงพ่อ เมื่อไม่ได้อย่างใจก็เป็นแบบที่เห็นๆกันในวันนี้ ก็แค่นั้น)
การออกไปทำงานข้างนอกเราก็ประหยัดกันสุดๆ และไม่เคยไปเรี่ยไร ไม่เคยรับค่าจ้างบรรยายธรรม 
แต่เราก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นพุทธพาณิชย์

ดิฉันก็ได้แต่คิดว่า เออหนอ..! ช่างคิดกันไปได้

หลวงพ่อสอนให้พวกเราท่องคุณสมบัติของกัลยาณมิตร และ โอวาทปาฏิโมกข์.."ขนฺตี ปรมฺ ตโปตี ติกขา ความอดทนคือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง...อนูปวาโท..การไม่เข้าไปว่าร้ายกันหนึ่ง...ฯ"

หลวงพ่อบอกว่าชีวิตเราสั้น เดี๋ยวก็วันเดี๋ยวก็คืนเดี๋ยวก็หมดเวลาของชีวิตแล้ว ให้เราเร่งทำแต่ความดี มุ่งเอาบุญเป็นที่ตั้งอย่าไปเสียเวลากับสิ่งอื่น ชาวโลกที่เขาว่าเรานั้นเพราะเขาไม่รู้ ก็เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องเป็นกัลยาณมิตร เป็นผู้ให้แสงสว่างแก่ชาวโลก บุญอะไรที่เราทำด้วยความยากลำบากเราจะปลื้มมาก เราจะจำได้ในวาระสุดท้ายของชีวิต เพราะในเวลาที่เราอยู่บนเตียงผู้ป่วยไม่มีใครช่วยเราได้นอกจากบุญ

บุญเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งที่ระลึกของเราอย่างแท้จริง

ถึงวันนี้แม้ยังไม่ได้อยู่บนเตียงผู้ป่วย แต่ดิฉันก็ได้ประจักษ์ว่าเวลานั้นผ่านไปรวดเร็วมาก ชีวิตมนุษย์่างสั้นน้อยนิด บุญที่เราได้ทำอย่างทุ่มเททั้งกายและใจ ทำความดีเพื่อความดี ด้วยความยากลำบาก เอาชีวิตเป็นเดิมพันนั้น ปลื้มจริงๆ ปลื้มที่สุดค่ะ ดิฉันมีความสุขและภาคภูมิใจ และทำให้เข้าใจรวมไปถึงทำไมหลวงพ่อจึงบอกให้ทำบุญอย่างทุ่ม ทำหมดใจแต่ไม่หมดตัวค่ะ





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น