วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2559

มาวัดพระธรรมกายครั้งแรก

มาวัดพระธรรมกายครั้งแรก ได้อย่างไร..?
                                 

        ดิฉันมีความผูกพันกับพระพุทธศาสนามาตั้งแต่เด็กๆ มีความสุขเวลาไปวัดกับแม่ ชอบทำบุญ และสนใจการปฏิบัติธรรม อยากรู้จักการทำสมาธิ  เคยได้ยินแนวปฏิบัติแบบต่างๆ มาบ้างเหมือนกัน แต่รู้สึกว่ายังไม่ค่อยโดนใจ

        ในปี ๒๕๒๘   ได้ยินชื่อ"วัด พระธรรมกาย" เป็นครั้งแรกทางสปอตโทรทัศน์ เชิญชวนไปร่วมงานบวช ตอนนั้นไม่ทราบหรอกค่ะว่ามีการสอนทำสมาธิด้วย แต่รู้สึกว่า"ชื่อวัด"น่าสนใจ และในสปอตประชาสัมพันธ์ นั้น ยังได้บอกการเดินทางไปวัดด้วย แต่งานบวชครั้งนั้นดิฉันก็ยังไม่ได้ไปวัดพระธรรมกาย

        ต่อมาอีกไม่นานนักก็ลองมาวัดพระธรรมกาย เป็นครั้งแรกคนเดียว โดยรถบัส ขึ้นที่หน้าสถานีโทรทัศน์ช่อง ๕ สนามเป้า

        สิ่งแรกที่รู้จักวัดพระธรรมกาย ก่อนที่จะไปถึงวัดจริงๆ ก็คือต้องสวมชุดขาวหรืออย่างน้อยเสื้อขาว
        เส้นทางสมัยนั้นค่อนข้างทุรกันดาร ทางเข้าวัดจากบางขันธ์เข้าไปเป็นถนนเล็กๆ ขนานไปกับคลองเล็กๆ ที่อยู่ซ้ายมือ ภาพที่ดิฉันจำได้ดีคือ ชาวบ้านนุ่งกระโจมอกใช้ขันตักน้ำในคลองนั้นอาบ
ส่วนขวามือจะเป็นสวนส้มเป็นส่วนใหญ่

       เมื่อใกล้ถึงวัดจะเห็นความเขียวขจีของต้นไม้ และ น้ำพุ ที่พุ่งขึ้นสูงสู่ฟ้ามองเห็นมาแต่ไกล ก็ทำให้รู้สึกตื่นเต้นว่าถึงแล้วๆ
       
       ก้าวแรกที่ลงจากรถ เขาก็ให้เข้าแถวเดินเป็นระเบียบเรียบร้อย ไปนั่งริมสระน้ำ ข้างศาลาดุสิต เนื่องจากรถคันที่ดิฉันนั่งมานั้นเป็นคันสุดท้ายจึงมาถึงช้าไปหน่อย พิธีได้เริ่มไปก่อนแล้ว วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ต้นเดือนพอดี มีคนไปเป็นจำนวนมาก นั่งกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ในชุดขาวสวดมนต์อย่างพร้อมเพรียงไพเราะ  เสร็จแล้ว ก็ให้นั่งหลับตาทำสมาธิ

      เป็นครั้งแรกที่ดิฉันได้ยินคำว่า ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ให้นึกถึงดวงแก้วหรือองค์พระ และภาวนาคำว่า "สัมมา อะระหัง ๆ"

      ทุกถ้อยคำของหลวงพ่อ ล้วนแปลกใหม่ ไม่เคยได้ยินได้ฟังที่ไหนมาก่อนเลย ดิฉันบอกตัวเองว่า "ใช่แล้ว...! แบบนี้แหละ ที่อยากได้ยิน สมาธิแบบนี้แหละที่ใจใฝ่หา"

      ดิฉันมีความสุข ความสบายใจ และเพลิดเพลินอยู่ในวัด ตลอดทั้งวัน

      ดิฉันไม่ได้สนใจว่า เสียงที่นำนั่งสมาธินั้นคือใคร เจ้าอาวาสชื่ออะไร รู้สึกเพียงว่าดิฉันชอบที่นี่จังเลย

      วันนั้นดิฉันกลับบ้าน ด้วยความรู้สึกที่ประทับใจล้นปรี่
๑.ประทับใจกับการสอนสมาธิของวัดพระธรรมกายมากที่สุด
 เรียกว่าดิฉันถูกจริตกับการทำสมาธิแบบ สัมมา อะระหัง ก็แล้วกัน นะคะ ดิฉันพบว่าการทำสมาธิแบบนี้คือทำใจให้หยุดให้นิ่ง  แบบนี้ทำให้ดิฉันมีความสุข
๒.ประทับใจกับความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความร่มรื่น สงบ ร่มเย็น
๓.ประทับใจกับรอยยิ้มบนใบหน้าของทุกๆ คน และการพูดจากันอย่างไพเราะ
๔.ประทับใจที่นั่งรถฟรีทั้งไปและกลับ ทานข้าวก็ฟรี

     วันนั้น ดิฉันยังเป็นนักศึกษา จำได้ดีว่ามาวัดครั้งแรกในวันนั้นดิฉันได้ทำบุญไป ๒๐ บาท ดิฉันอยากทำบุญเอง ไม่ได้มีใครบอก ไม่ได้มีใครบังคับเลยว่าจะต้องทำบุญเท่านั้นเท่านี้

     จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ๓๐ ปีแล้ว ที่ดิฉันไปวัดพระธรรมกาย หลายสิ่งหลายอย่างวันนี้เปลี่ยนไปมาก
สถานที่กว้างขวางขึ้น  จำนวนสาธุชนที่เลื่อมใสศรัทธามีจำนวนมากขึ้น พระภิกษุและสามเณรก็มากขึ้น
แต่สิ่งที่วัดพระธรรมกายไม่เคยเปลี่ยนเลยคือ ความสงบ ความสะอาด ความมีระเบียบวินัย การรักษาวัฒนธรรมคุณยาย คือใครมาวัด มาร้อยเลี้ยงร้อย มาล้านเลี้ยงล้าน ไม่ว่าวัดจะเจริญไปแค่ไหน ไม่ว่าหลวงพ่อจะอายุพรรษากาลผ่านไปอย่างไร ใครจะกล่าวหาหรือว่าสรรเสริญ ท่านก็ยังมีเมตตาต่อทุกคนและแน่วแน่ที่จะสอนสมาธิให้ทุกคนเข้าถึงความสุขภายใน สร้างพระให้เป็นพระแท้ สร้างคนให้เป็นคนดีของครอบครัว และของประเทศชาติ วัดพระธรรมกายไม่เคยไปจี้ถามว่าใครว่าทำบุญหรือเปล่า ทำเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นมหาเศรษฐี หรือเป็นคนธรรมดาๆอย่างดิฉัน ก็นำปัจจัยใส่ซองเดินเข้าไปถวายหลวงพ่อธัมมโย ได้เหมือนกัน พร้อมๆ กัน และท่านก็ให้พรทุกคนด้วยุ้อยคำเดียวกัน
     ดิฉัน อยากบอกชาวโลกและขอยืนยันตรงนี้ว่า วัดพระธรรมกายไม่เคยบังคับให้ใครทำบุญ
ใครทำมากเราต่างร่วมยินดี และอนุโมทนา ใครทำน้อยหรือไม่ทำเลยเราก็ยังต้อนรับและรักใคร่กันเป็นเสมือนพี่น้องกัน ค่ะ
    บุญ ใครทำ ใครก็ได้ค่ะ

3 ความคิดเห็น: